วัดหัวเวียง
ประวัติความเป็นมา

เป็นที่ประดิษฐานพระเจ้าพาราละแข่ง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องประจำเมืองที่งดงามมาก มีประวัติว่าหล่อจำลองจาก “พระมหามุนี” ซึ่งเป็นเจ้าพาราละแข่งองค์จริง ณ เมืองมัณฑะเลย์ สหภาพพม่า โดยลุงจองโพหย่า เดินทางไปนิมนต์มา พระเจ้าพาราละแข่งองค์นี้สร้างเป็นท่อนๆ ทั้งหมด 9 ท่อน ล่องมาตามแม่น้ำปาย แล้วนำมาประกอบที่วัดพระนอนและนำมาประดิษฐานที่วัดหัวเวียง หรือวัดกลางเมือง ชาวแม่ฮ่องสอนถือว่าเป็น พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืององค์หนึ่ง ปัจจุบันวิหารที่ประดิษฐานพระเจ้าพาราละแข่งสร้างใหม่เสร็จเรียบร้อยและยังคงโครงสร้างของวิหารตามรูปแบบเดิมไว้
วัดที่มีศิลปะแบบไทใหญ่
วัดหัวเวียงเป็นวัดที่มีศิลปะแบบไทใหญ่ ซึ่งมีแอกลักษณ์ที่มีหลังคาซ้อนกันหลายชั้นโดยยกจั่วขึ้นและมีหลังคาขนาดเล็กว่าทิ้งชายครอบลงมา ถ้ามีสองจั่วและซ้อนหลังคาสามชั้นเรียกว่า “เจตบุน” ส่วนอาคารสามคอจั่วและซ้อนหลังคาเป็นสี่ชายเรียกว่า “ยอนแซก” หากสูงไปกว่านั้นนิยมสร้างเป็นยอดปราสาทโดยซ้อนหลังคาขึ้นไปห้าหรือเจ็ดชั้น ส่วนชายของหลังคานิยมประดับสังกะสีเจาะฉลุเป็นลวดลายสวยงาม สังกะสีฉลุส่วนที่ประดับเหนือหลังคาเรียกว่า “ปานถ่อง” ส่วนสังกะสีฉลุส่วนที่ห้อยลงมารียกว่า “ปานซอย”
สถานที่น่าชม
พระเจ้าพาลาละแข่ง
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องฝีมือช่างมัณฑะเลย์ องค์พระหล่อจากทองเหลือง ส่วนพระพักตร์มีส่วนผสมของทองอยู่ส่วนหนึ่ง ทำให้พระพักตร์แวววาวอยู่เสมอ พระเจ้าพาลาละแข่งจำลองจากพระมหามุนีองค์จริงที่ประดิษฐานอยู่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า การหล่อพระเจ้าพาละแข่ง ช่างได้หล่อเป็นท่อนๆจำนวนเก้าท่อน ลุงจองโพหย่าเป็นผู้เดินทางไปอัญเชิญล่องมาตามแม่น้ำปายแล้วนำมาประกอบที่วัดพระนอน จากนั้นจึงนำมาประดิษฐานที่วัดหัวเวียง
วิหารพระเจ้าพระเจ้าพาลาละแข่ง
สันนิษฐานว่าสร้างในคราวเดียวกับการสร้างวัด โครงสร้างทั้งหมดของวิหารใช้ไม้เป็นวัสดุ ลักษณะเด่นคือหลังคาแบบเรือนยอดทรงปราสาทซ้อนห้าชั้น ตอนบนสุดประดับด้วยฉัตรโลหะหลังคามุงกระเบื้องไม้และมีสังกะสีลุประดับตามศิลปะไทยใหญ่
ที่ตั้งและการเดินทาง
ตั้งอยู่ใจกลางเมือง (อยู่ติดกับตลาดเช้าบริเวณสี่แยกไฟแดง) อยู่ติดกับตลาดสดตัวเมืองแม่ฮ่องสอน